วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อนุทินที่ 3

ประกาศยกเลิกหลักสูตร ป.บัณฑิต-ปรับระบบขอใบอนุญาตฯ แยกเป็นวิชาที่สอน


“คุรุสภา” ปรับใหญ่ระบบออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู แบ่งชัด กลุ่มครูปฐมวัย ประถม มัธยม ครู ม.ปลาย ขอใบอนุญาตฯ แยกรายวิชา ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ระบุ บัณฑิตครูใหม่ ใช้วิธีสอบ ขณะที่ครูเก่า ใช้หลักฐานอบรมความรู้เพิ่มเติม 15 ชั่วโมง นำหลักฐานย้อนหลัง 3 ปีมายื่น ตั้งเป้าใช้จริงปี 2557 พร้อมประกาศยกเลิกรับรองหลักสูตร ป.บัณฑิต หลังมีเสียงบ่นขาดคุณภาพ
    
       วันนี้ (19 ส.ค.) ดร.ดิเรก พรสีมา ประธานคณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ว่า ที่ประชุมมีมติให้แก้ไขมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพผู้บริหารหารศึกษาจะให้มีการเพิ่มมาตรฐานความรู้ในวิชาที่สอนเข้าไปซึ่งในปัจจุบันครู จะมีอยู่ 9 มาตรฐาน ส่วนผู้บริหารและศึกษานิเทศก์มี 10 มาตรฐาน โดยจะเพิ่มอีก 1 มาตรฐาน คือ มาตรฐานความรู้ในวิชาที่ครูจะสอน โดยในระดับปฐมวัย จะเน้นในเรื่องจิตวิทยาสำหรับเด็ก การดูแลช่วยเหลือเด็ก การช่วยให้เด็กมีพัฒนาการได้อย่างสมวัย ระดับประถมศึกษา จะเพิ่มความรู้ในกลุ่มสาระที่ครูจะต้องสอน รวมถึงเทคนิคและวิธีสอน ระดับมัธยมศึกษา เพิ่มความรู้ในเนื้อหาวิชาที่ครูจะไปสอน อาทิ ครูที่สอนวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ทั้งนี้ จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู โดยจะแยกเป็นใบประกอบวิชาชีพครูระดับปฐมวัย ประถมศึกษา ขณะที่ มัธยมศึกษาตอนต้น จะแยกเป็นกลุ่มสาระวิชา ส่วนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จะแยกเป็น ครูสอนฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา เป็นต้น ส่วนครูระดับอาชีวศึกษาก็จะแยกตามสาขาวิชา อาทิ ครูช่าง บริหาร เกษตร
    
       ดร.ดิเรก กล่าวต่อว่า ในส่วนผู้ที่จะขอใบอนุญาตใหม่นั้น จะต้องผ่านกระบวนการทดสอบจากคุรุสภา นอกจากนี้ นักศึกษาครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ หลักสูตร 5 ปี สามารถสอบขอใบอนุญาตฯ ได้ตั้งแต่ชั้นปีที่ 3 ซึ่งหากสอบผ่าน เมื่อเรียนจบก็จะสามารถนำผลการทดสอบพร้อมกับวุฒิการศึกษาปริญญาตรี มายื่นขอใบอนุญาตฯ จากคุรุสภาได้ทันที
    
       “คุรุสภาจะแปลงคะแนนข้อสอบเป็นคะแนนมาตรฐาน หากได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่คุรุสภากำหนดซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการกำหนดเกณฑ์ บัณฑิตคนนั้นจะไม่ได้ใบอนุญาตฯ แต่สามารถมาสอบใหม่ได้โดยเบื้องต้นอาจจะให้สอบได้ปีละ 2-3 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเสนอว่าควรมีการนำร่องได้ในปี 2555 และจะดำเนินการเต็มรูปแบบในปี 2557 ส่วนแนวทางในเบื้องต้นสำหรับครูที่มีใบอนุญาตฯ อยู่แล้วซึ่งจะหมดอายุในปี 2557 นั้น จะต้องมีหลักฐานในการฝึกอบรมในวิชาที่จะสอบอย่างน้อย 15 ชั่วโมง ย้อนหลัง 3 ปี หากไม่มีก็จะให้เวลาไปพัฒนาต่อไป ซึ่งต้องรอการกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อใบอนุญาตฯ ที่ชัดเจนอีกครั้ง” ปธ.คกก.คุรุสภา กล่าว
    
       ดร.ดิเรก กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีมติยกเลิกการให้การรับรองหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต (ป.บัณฑิต) โดยให้มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ดังนั้น สถาบันผลิตครูที่เคยส่งหลักสูตรมาให้การรับรอง และคุรุสภาให้การรับรองไปแล้ว ทางคุรุสภายกเลิกไม่ให้การรับรองต่อไป อย่างไรก็ตามจะไม่กระทบต่อนักศึกษาหลักสูตรป.บัณฑิตที่กำลังเรียนอยู่ในขณะนี้ แต่จะไม่ให้สถาบันผลิตครูรับนักศึกษาหลักสูตร ป.บัณฑิตรุ่นใหม่อีก เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้มีผู้จบการศึกษาผู้มีใบอนุญาตฯพอแล้ว และคุรุสภา ต้องการควบคุมคุณภาพสถาบันผลิตครู ซึ่งบางแห่งไม่บริหารหลักสูตรให้เป็นไปตามที่เสนอต่อคุรุสภา
    
       “ส่วนสถาบันอาชีวศึกษาหรือสถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ครู ซึ่งไม่ได้จบด้านการศึกษา หรือสายช่าง ถ้าจำเป็นต้องอบรมเพื่อให้ได้ใบอนุญาตฯทางคุรสภาจะประสานงานกับหน่วยงานเหล่านั้นเพื่อประสานกับสถาบันผลิตครู เพื่อจัดอบรมเป็นรายสถาบันรายกรณีไป” ดร.ดิเรก กล่าว

http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000115578


สรุปสิ่งที่ได้จากการอ่านข่าว
      จากข่าวข้างต้นมีความสำคัญต่อวงการวิชาชีพครูเป็นอย่างยิ่ง ในเรื่องของการขอรับใบประกอบวิชาชีพครู ซึ่งเคยมีปัญหาในด้านต่างๆ มาเนิ่นนาน ไม่ว่าจะเป็นในด้านของกฎเกณฑ์ข้อกำหนด มาตรฐาน คุณภาพของครูที่ผลิตออกมา และยังรวมไปถึงการผกผันทางการเมือง ในการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจในการบริหารราชการในด้านต่างๆ อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจการกำหนดหรือควบคุมจึงถูกเปลี่ยนแปลงเป็นว่าเล่น ดังที่ได้เห็นจากนโยบายที่ออกมาเป็นรายวัน ดังนั้นในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดในการข้อรับใบประกอบวิชาชีพครูที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง มีความสำคัญกับพวกเราที่อยู่ในวงการวิชาชีพครูเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามทุกคนจะต้องคอยติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด

อนุทินที่ 2

แบบฝึกหัด


คำสั่ง  หลังจากนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้วจงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1.   ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ เพราะกฎหมายคือข้อบังคับที่กำหนดขึ้นเพื่อควบคุมความประพฤติและความขัดแย้งของมนุษย์ ถ้าหากไม่มีกฎหมายจะทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมของมนุษย์นั้นเกิดความวุ่นวาย และเกิดความขัดแย้งในสังคม

2.   ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ คิดว่าถ้าหากไม่มีกฎหมาย มนุษย์ก็จะกระทำในสิ่งตนเองอยากกระทำโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน ความเสียหายต่างๆของผู้อื่น และทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม

3.   ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้ ?
ก.   ความหมาย
ตอบ กฎหมาย คือ คำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐเป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้นๆจะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนดบทลงโทษ
ข.   ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ตอบ 1. เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดอาทิรัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติหัวหน้าคณะปฏิวัติกษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้เช่นรัฐสภาตราพระราชบัญญัติคณะรัฐมนตรีตราพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกาคณะปฏิวัติออกคำสั่งหรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่างๆถือว่าเป็นกฎหมาย
2. มีลักษณะเป็นคาสั่งข้อบังคับอันมิใช่คำวิงวอนประกาศหรือแถลงการณ์อาทิประกาศของกระทรวงศึกษาธิการคำแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมายสำหรับคำสั่งข้อบังคับที่เป็นกฎหมายเช่นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับพ.ศ. 2545 พระราชกำหนดบริหารราชการฉุกเฉินพ.ศ. 2548 เป็นต้น
3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาคเพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้เช่นกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ใช้บังคับกับผู้ที่มีเงินได้แต่ไม่บังคับเด็กที่ยังไม่มีเงินได้การแจ้งคนเกิดภายใน 15 วันแจ้งคนตายภายใน 24 ชั่วโมงยื่นแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินเมื่ออายุย่างเข้า 18 ปีเข้ารับการตรวจคัดเลือกเป็นทหารประจำการเมื่ออายุย่างเข้า 21 ปีเป็นต้น
4. มีสภาพบังคับซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้นการกระทำตามกฎหมายนั้นๆกำหนดหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้และสภาพบังคับในทางอาญาคือโทษที่บุคคลผู้ที่กระทำผิดจะต้องได้รับโทษเช่นรอลงอาญาปรับจาคุกกักขังริมทรัพย์แต่หากเป็นคดีแพ่งผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายหรือชำระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้เช่นบังคับใช้หนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยบังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายเป็นต้น
ค. ที่มาของกฎหมาย
ตอบ 1. บทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นกฎหมายลักษณ์อักษรเช่นกฎหมายประมวลรัษฎากรรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกากฎกระทรวงเทศบัญญัติซึงกฎหมายดังกล่าวผู้มีอำนาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
2. จารีตประเพณีเป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานานหากนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย
3. ศาสนาเป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุกๆศาสนาสอนให้เป็นคนดีเช่นห้ามลักทรัพย์ห้ามผิดลูกเมียห้ามทำร้ายผู้อื่นกฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษาซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลังๆซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทาไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้อาจนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้นสมควรหรือไม่จึงทำให้นักนิติศาสตร์อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้
ง.   ประเภทของกฎหมาย
      ตอบ  การแบ่งประเภทกฎหมายที่จะนำไปใช้นั้นมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน
      การแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทยขึ้นอยู่ใช้หลักใดจะขอกล่าวโดยทั่วๆไปดังนี้
        ก. กฎหมายภายในมีดังนี้
        1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
                      1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรแบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลักโดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายเช่นรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติ

                1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติเช่นจารีตประเพณีหลักกฎหมายทั่วไป
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
                2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 วรรคแรกบัญญัติโทษทางอาญาเช่นการประหารชีวิตจาคุกกักขังปรับหรือริบทรัพย์สิน
                2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่งได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่างๆกันไว้สำหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
            3. กฎหมายสารบัญญัติและกฎหมายวิธีสบัญญัติ
                            3.1 กฎหมายสารบัญญัติแบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก
                            3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติกล่าวถึงวิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ
            4. กฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน
                            4.1 กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนรัฐเป็นผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคมเป็น           เครื่องมือในการควบคุมสังคมคือกฎหมายมหาชนได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดระเบียบ
                            4.2 กฎหมายเอกชนเป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันเช่นกฎหมาย   แพ่งและพาณิชย์
            ข. กฎหมายภายนอกมีดังนี้
            1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน
            2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลเป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใน  รัฐต่างรัฐๆ
            3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญาเป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับ ให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทำผิดนอก   ประเทศนั้นได้

4.  ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรว่าทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมายจงอธิบาย ?
           ตอบ เพราะกฎหมายคือข้อกำหนดทุกประเทศควรมีเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับให้ประชาชนใน          ประเทศปฏิบัติ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง หากบุคคลใดไม่ปฏิบัติตามก็จะมีบทลงโทษ เป็นการ          ควบคุมประชาชนในประเทศให้อยู่ในระเบียบของกฎหมาย หากประเทศใดประชาชนในประเทศปฏิบัติเคารพต่อกฎหมายอย่างเคร่งขัดก็จะทำให้ประเทศนั้นเจริญกว่าประเทศที่คนไม่เคารพกฎหมาย

5.  สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไรจงอธิบาย ?                                            
      ตอบ  คือบทลงโทษของผู้ที่ไม่เคารพและไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย



6.  สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่งมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ?
ตอบ  มีความแตกต่างกัน คือแตกต่างกันด้วยสภาพบังคับ ในกฎหมายแพ่งนั้น มีสภาพบังคับประเภทหนึ่ง กล่าวคือ ถ้าหากมีการล่วงละเมิดกฎหมายแพ่ง บุคคลผู้ล่วงละเมิดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ก็อาจจะถูกยึดทรัพย์มาขายทอดตลาด เอาเงินที่ขายได้มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล หรือมิฉะนั้น อาจถูกกักขังจนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลก็ได้ ส่วนในกฎหมายอาญานั้น มีสภาพบังคับอีกประเภทหนึ่ง คือ โทษทางอาญาซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้สำหรับความผิด ซึ่งโทษดังกล่าวมีอยู่ 5สถานด้วยกัน คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน

7.   ระบบกฎหมายเป็นอย่างไรจงอธิบาย ?
             ตอบ แบ่งเป็น 2 ระบบดังนี้
             1. ระบบซีวิลลอร์ (Civil Law System) หรือระบบลายลักษณ์อักษรเป็นระบบเอามาจาก “Jus         Civile” ใช้แยกความหมาย “Jus Gentium” ของโรมันซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือเป็นกฎหมาย     ลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่นคำพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมายแต่เป็น   บรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้นเริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญจะถือเอาคำพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของนักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้
2. ระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคำว่า “เอคควิตี้ (equity) เป็นระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรนำเอาจารีตประเพณีและคำพิพากษาซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองการวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด

8.  ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้างมีกี่ประเภทแต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้างยกตัวอย่างอธิบาย ?
                ตอบ  ตอบ ประเภทของกฎหมาย ที่จะศึกษาแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
               1.  ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
               2.  ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
               3.  ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
            1.  ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย
              1.1.  ระบบลายลักษณ์อักษร ( Civil law System ) ประเทศไทยใช้ระบบนี้เป็นหลัก  กระบวนการจัดทำกฎหมายมีขั้นตอนที่เป็นระบบ มีการจดบันทึก มีการกลั่นกรองของฝ่ายนิติบัญญัติคือ รัฐสภามีการจัดหมวดหมู่กฎหมายของตัวบทและแยกเป็นมาตรา เมื่อผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาแล้ว จะประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยราชกิจจานุเบกษา กฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
              1.2. ระบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณี ( Common Law System) เป็น       กฎหมายที่มิได้มีการจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีการจัดเป็นหมวดหมู่ และไม่มีมาตรา           หากแต่เป็นบันทึกความจำตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้กันต่อๆมา ตั้งแต่บรรพบุรุษรวมทั้ง     บันทึกคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาคดีมาแต่ดั้งเดิม ประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณีหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ประเทศอังกฤษและประเทศทั้งหลายใน                                เครือจักรภพของอังกฤษ
             2.  ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย
              2.1.  กฎหมายสารบัญญัติ คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคล กำหนด ข้อบังคับความประพฤติของบุคคลทั้งในทางแพ่งและในทางอาญา โดยเฉพาะในทางอาญา คือ ประมวลกฎหมายอาญา จะบัญญัติลักษณะการกระทำอย่างใดเป็นความผิดระบุองค์ประกอบความผิดและกำหนดโทษไว้ว่าจะต้องรับโทษอย่างไร และในทางแพ่ง   คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์  จะกำหนดสาระสำคัญของบทบัญญัติว่าด้วยนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในฐานะต่างๆตามกฎหมาย เช่น นิติกรรม หนี้ สัญญา เอกเทศสัญญา เป็นต้น
             2.2.  กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงวิธีการปฏิบัติด้วยการนำเอากฎหมายสารลบัญญัติไปใช้ไปปฏิบัตินั่นเอง เช่น ไปดำเนินคดีในศาลหรือเรียกว่า  กฎหมายวิธีพิจารณาความลก็ได้  กฎหมายวิธีสบัญญัติ    จะกำหนดระเบียบ ระบบ ขั้นตอนในการใช้ เช่น กำหนดอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินคดีอาญาต่อผู้ต้องหา วิธีการร้องทุกข์ วิธีการสอบสวนวิธีการนำคดีที่มีปัญหาฟ้องต่อศาล วิธีการพิจารณาคดีต่อสู้คดี ในศาลรวมทั้งการบังคับคดีตามคำสั่ง หรือคำพิพากษาของศาล เป็นต้น กฎหมายวิธีสบัญญัติ จะกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา  ความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก
          3.  ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
             3.1.  กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่รัฐตราออกใช้กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ ประชาชนการบริหารประเทศ รัฐมีฐานะเป็นผู้ปกครองประชาชนด้วยการออกกฎหมายและให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม จึงตรากฎหมายประเภทมหาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นส่วนรวมทั้งประเทศ และทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะมีผลกระทบต่อบุคคลของประเทศเป็นส่วนรวม จึงเรียกว่า กฎหมายมหาชน กฎหมายประเภทนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง เช่น พระราชบัญญัติระเบียบ บริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายอาญา เป็นต้น
              3.2.  กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน ด้วยกันเอง เป็นความสัมพันธ์ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา คือ เอกชนด้วยกันเอง รัฐไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะไม่มีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม  จึงให้ประชาชนมีอิสระกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันภายในกรอบของกฎหมายเพื่อคุ้มครองความเสมอภาคมิให้เอาเปรียบต่อกันจนเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นต่อ   

9.  ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไรมีการแบ่งอย่างไร ?
           ตอบ  ศักดิ์ของกฎหมาย คือ เป็นการจัดลำดับแห่งค่าบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององค์กรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกันในการจัดลำดับจะต้องอาศัยหลักว่า         กฎหมายหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายที่อยู่ในลำดับที่ต่ำกว่าจะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลาดับที่สูงกว่าไม่ได้และเราจะพิจารณาอย่างไรโดยพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมายโดยใช้เหตุผลที่ว่า (1) การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติควรจะเป็นกฎหมายเฉพาะที่สำคัญเป็นการกำหนดหลักการและนโยบายเท่านั้นเช่นพระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชน (2) การให้รัฐสภาเป็นการทุ่นเวลาและทันต่อความต้องการและความจำเป็นของสังคม (3) ฝ่ายบริหารหรือองค์กรอื่นจะออกกฎหมายลูกจะต้องอยู่ในกรอบของหลักการและนโยบายใน  กฎหมายหลักฉบับนั้น

10.  เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชนณลานพระบรมรูปทรงม้าและประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบแต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุมและขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบลงมือทำร้ายร่างกายประชาชนในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาลกระทำผิดหรือถูก ?
            ตอบ  เป็นการกระทำที่ผิด เพราะ ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองเพราะประเทศไทย เป็นประเทศประชาธิปไตยมีสิทธีเสียงเท่ากัน รัฐธรรมนูญ ระบุอยู่แล้วว่า 
                1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
                2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
                3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง
                4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ

11.  ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่ากฎหมายการศึกษาอย่างไรจงอธิบาย ?
             ตอบ  กฎหมายการศึกษาคือ บทบัญญัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีกฎหมายการศึกษาขึ้นที่จะเชื่อมโยงกับกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยการศึกษาคือจะเป็นกฎหรือคำสั่งหรือข้อบังคับ       ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหรือหน่วยงานผู้มีอำนาจได้ตราขึ้นบังคับกฎหมายเพื่อให้บุคคล ประพฤติปฏิบัติตามไปสู่การพัฒนาคนและสังคมสู่ความเจริญงอกงามธำรงไว้ซึ่งอิสรภาพ เสรีภาพของบุคคลและประเทศชาติ

12. ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่าเมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง ?
            ตอบ  ถ้าไม่ทราบเกี่ยวกับกฎหมายทางการศึกษาจะทำให้เกิดผลกระทบในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการจัดการศึกษาอย่างไรที่จะต้องเป็นไป  เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้ง   ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และจะต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษานั้นต้องทำอย่างไร  สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่คนเป็นครูจะต้องทราบเพื่อจะได้ส่งเสริมกระบวนการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนได้พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และถ้าไม่ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายการศึกษาอาจจะทำให้ไม่ทราบและปฏิบัติตนขัดกับกฎหมายที่มี
 

อนุทินที่ 1


1. ประวัติของข้าพเจ้า

     ชื่อ-สกุล นายวิศรุต แก้วนพ
     ชื่อเล่น  เอ็กซ์
     รหัสนักศึกษา  5681114019
     Facebook  Wisarut Keawnop
     E-mail  wisarutkeawnop@gmail.com
     วันเกิด  วันเสาร์ ที่ 18 ธันวาคม 2536
     ที่อยู่  39/3 หมู่ที่ 8 ตำบลทุ่งใส อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช 80120
    

2. อุดมการณ์ความเป็นครู

     ข้าพเจ้าต้องการที่จะนำความรู้ความสามารถไปพัฒนาความสามารถของนักเรียน และช่วยผลักดันชุมชนบ้านเกิดให้มีความเจริญทัดเทียมทันสิ่งใหม่ๆ

3. เป้าหมายของนักศึกษา

     ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจบการศึกษา จะตั้งใจทำในสิ่งที่ดีต่อสังคมและส่วนรวม ให้เกิดประโยชน์สูงสุด